วิธีชงกาแฟ ชงกาแฟยังไง ให้อร่อยถูกปาก

วิธีชงกาแฟ ชงกาแฟยังไง ให้อร่อยถูกปาก

วิธีชงกาแฟ นั้นมีหลากหลายวิธี ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์และวัตถุดิบที่เรามี ในที่นี้จะขอแนะนำวิธีการชงกาแฟ 2 วิธี ที่นิยมมากที่สุด ได้แก่ การชงกาแฟด้วยเครื่องชงเอสเพรสโซ่

เครื่องชงเอสเพรสโซ่เป็นอุปกรณ์ชงกาแฟที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน เหมาะสำหรับชงกาแฟเอสเพรสโซ่และเครื่องดื่มกาแฟอีกมากมาย เช่น ลาเต้ คาปูชิโน่ มอคค่า เป็นต้น

อุปกรณ์ในการชงกาแฟด้วยเครื่องชงเอสเพรสโซ่ ได้แก่

  • เครื่องชงเอสเพรสโซ่
  • หัวชงกาแฟ
  • แทมป์
  • กระดาษกรอง
  • เมล็ดกาแฟคั่วบด

วิธีชงกาแฟ ด้วยเครื่องชงเอสเพรสโซ่

  1. บดเมล็ดกาแฟให้ละเอียด โดยปกติแล้วอัตราส่วนการบดกาแฟต่อน้ำควรอยู่ที่ 1:2 (กาแฟ 1 กรัมต่อน้ำ 2 กรัม)
  2. ใส่กระดาษกรองลงในหัวชงกาแฟ แล้วเทน้ำร้อนลงไปในกระดาษกรอง เพื่อล้างกระดาษกรองและความร้อน
  3. ใส่กาแฟบดลงในหัวชงกาแฟ แล้วแทมป์ให้แน่น
  4. ใส่น้ำร้อนลงในหัวชงกาแฟ โดยปกติแล้วควรใช้น้ำร้อนที่อุณหภูมิ 90-96 องศาเซลเซียส
  5. รอจนกาแฟชงเสร็จ ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 25-30 วินาที

การชงกาแฟด้วย French Press

French Press เป็นอุปกรณ์ชงกาแฟที่ได้รับความนิยมอีกวิธีหนึ่ง เหมาะสำหรับชงกาแฟที่มีรสชาติเข้มข้น

อุปกรณ์ในการชงกาแฟด้วย French Press ได้แก่

  • French Press
  • การอง
  • เมล็ดกาแฟคั่วบด

วิธีการชงกาแฟด้วย French Press

  1. บดเมล็ดกาแฟให้หยาบ โดยปกติแล้วอัตราส่วนการบดกาแฟต่อน้ำควรอยู่ที่ 1:16 (กาแฟ 1 กรัมต่อน้ำ 16 กรัม)
  2. ใส่การอง French Press
  3. ใส่น้ำร้อนลงในการอง French Press โดยปกติแล้วควรใช้น้ำร้อนที่อุณหภูมิ 80-90 องศาเซลเซียส
  4. ปิดฝา French Press ทิ้งไว้ประมาณ 4-5 นาที
  5. ค่อยๆ กดก้าน French Press ลงเพื่อแยกกากกาแฟออกจากน้ำกาแฟ

นอกจากนี้ ยังมีวิธีการชงกาแฟอื่นๆ อีกมากมาย เช่น การชงกาแฟด้วยหม้อต้ม Moka Pot การชงกาแฟด้วย Aeropress การชงกาแฟด้วย Cold Brew เป็นต้น สามารถเลือกวิธีการชงกาแฟที่เหมาะกับความชอบและอุปกรณ์ที่เรามี

ข้อดีของการดื่มกาแฟ

  • ช่วยเพิ่มพลังงานและสมาธิ คาเฟอีนในกาแฟช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้รู้สึกสดชื่น ตื่นตัว และสามารถจดจ่อกับงานได้ดีขึ้น
  • ช่วยลดน้ำหนัก กาแฟสามารถช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานและลดความอยากอาหารได้
  • ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ สารต้านอนุมูลอิสระในกาแฟช่วยป้องกันไม่ให้หลอดเลือดแข็งตัวและอุดตัน ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหัวใจ
  • ลดความเสี่ยงของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 คาเฟอีนในกาแฟช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
  • ลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งบางชนิด สารต้านอนุมูลอิสระในกาแฟช่วยป้องกันเซลล์มะเร็งจากการถูกทำลาย
  • ช่วยปกป้องตับ สารต้านอนุมูลอิสระในกาแฟช่วยป้องกันตับจากความเสียหาย
  • ลดความเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์และพาร์กินสัน คาเฟอีนและสารต้านอนุมูลอิสระในกาแฟช่วยปกป้องสมองจากความเสียหาย

นอกจากนี้ กาแฟยังช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพในการออกกำลังกาย ช่วยลดความเครียด และช่วยป้องกันโรคนิ่วในถุงน้ำดีได้อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม การดื่มกาแฟในปริมาณที่มากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ เช่น ปวดศีรษะ นอนไม่หลับ หัวใจเต้นเร็ว กระสับกระส่าย วิตกกังวล เป็นต้น ดังนั้น ควรดื่มกาแฟในปริมาณที่เหมาะสม โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำว่าผู้ใหญ่ควรดื่มกาแฟไม่เกิน 400 มิลลิกรัมต่อวัน หรือประมาณ 4 แก้วต่อวัน

ที่มาวิธีการชงกาแฟ: วิธีการชงกาแฟ
ติดตามเรื่องที่น่าสนใจ: ข้อดีการไปนั่งร้านคาเฟ่
ติดตามคาเฟ่อื่น ๆ ได้ที่: คาเฟ่น่านั่ง